เมื่อพูดถึงไข้หวัดใหญ่ เชื่อว่าหลายคนกำลังให้ความสนใจ อาจจะด้วยสถานการณ์ของโคโรน่าไวรัส(โควิด19) ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ ที่มีลักษณะอาการคล้ายคลึงกับไข้หวัดใหญ่ จนเกิดเป็นกระแสที่สร้างความหวาดระแวงให้กับผู้คนจำนวนไม่น้อยว่า “ฉันเป็นรึยัง” “ผมติดเชื้อแล้วไหม”
ขอขอบคุณรูปจาก www.freepik.com
ไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่าอินฟลูเอนซ่า (Influenza Virus) ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 สายพันธุ์หลักๆคือชนิด A ,
B และ C แต่ชนิด B และ C พบน้อยและมีอาการไม่รุนแรง ในขณะที่ชนิด A พบได้ทั้งในคนและสัตว์ และพบ 4 สายพันธุ์ย่อยที่พบบ่อย และมีการระบาดอย่างรุนแรงไปทั่วโลก เช่น H1N1,H3N2,H5N2 เป็นต้น และที่น่าประหลาดใจคือเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จะมีการอัพเดทสายพันธุ์ของตัวเองอยู่เรื่อยๆ ดังนั้นเมื่อร่างกายเราอ่อนแอ ก็จะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
ในระยะแรกผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนเป็นไข้หวัดธรรมดา แต่จะมีไข้สูงติดต่อกันหลายวัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย คัดจมูกน้ำมูกไหล บางรายอาจมีการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย สิ่งที่น่ากลัวอย่างหนึ่งของไข้หวัดใหญ่คือ ภาวะแทรกซ้อนของโรค เช่น ปอดอักเสบ และสมองอักเสบ เป็นต้น ซึ่งมักเกิดขึ้นได้กับเด็กเล็กผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง และเนื่องจากว่าอาการของไข้หวัดใหญ่จะมีความใกล้เคียงกับโควิด-19 เป็นอย่างมาก แต่จะแตกต่างกันที่โควิด19 ผู้ป่วยจะหายใจลำบาก แน่นหน้าอก จนถึงขั้นปอดอักเสบได้ ดังนั้นเมื่อมีอาการเบื้องต้น ควรรีบเข้าพบแพทย์เป็นการด่วนเพื่อวินิจฉัยและรักษาต่อไป
ขอขอบคุณรูปจาก www.pexels.com
เนื่องจากภูมิต้านทานในร่างกายของคนเราไม่เสถียรสามารถลดต่ำลงได้ ในขณะที่ไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา โดยปกติวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะใช้เวลาในการออกฤทธิ์ประมาณ2 สัปดาห์นับจากวันที่ฉีด และจะอยู่ได้ประมาณ 1 ปี เมื่อมีไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ๆมา ร่างกายก็จะมีภูมิต้านทานไม่เพียงพอที่จะต่อสู่กับเชื้อโรคเหล่านั้น
ดังนั้นองค์การอนามัยโลก(WHO) จึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันทุกปี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สามารถรับมือกับเชื้อไวรัสที่จะเข้ามาสู่ร่างกายได้ดีมากยิ่งขึ้น
การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไม่เพียงส่งผลดีต่อระบบภูมิต้านทานร่างกายของแต่ละบุคคลเท่านั้น แต่ส่งผลดีต่อสังคมที่เราอยู่ด้วย
1. การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันการเกิดโรคไข้หวัดใหญ่ในสายพันธุ์เดียวกันหรือสายพันธุ์ใกล้เคียงได้ถึง 70-90 %
2. เมื่อมีอาการ สามารถลดความรุนแรงของโรคไข้หวัดใหญ่ได้ถึง 70-80%
และถึงแม้ว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะไม่สามารถป้องกันโควิด19ได้แต่จะช่วยลดความรุนแรงหากมีการติดเชื้อร่วมกัน
3. ช่วยลดความรุนแรงจากภาวะแทรกซ้อนของโรคไข้หวัดใหญ่ลงได้
4. ช่วยลดการใช้ยาปฏิชีวนะค่าใช้จ่ายในการรักษา และลดอัตราการเสียชีวิตจากโรค ช่วยลดการระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่ในสังคม
จะว่าไปแล้วทุกคนจำเป็นต้องได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายเป็นประจำทุกปี แต่มีกลุ่มคนที่ถูกจัดเป็นกลุ่มเสี่ยงที่เมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่แล้ว
อาจมีอาการหนักกว่าคนทั่วไป ซึ่งต้องให้ความสำคัญต่อการรับวัคซีนเป็นพิเศษ ได้แก่
1. หญิงตั้งครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป วัคซีนไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันหญิงตั้งครรภ์จากไข้หวัดใหญ่ซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
และสามารถป้องกันโรคให้กับทารกหลังคลอดที่อายุไม่ถึง 6 เดือนได้ด้วย
2. ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ที่ระบบภูมิต้านทานไม่แข็งแรง และการตอบสนองต่อวัคซีนก็ลดลง
3. เด็กเล็กอายุ 6 เดือน – 2 ปี
4. ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
5. ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย(โรคโลหิตจางที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม)
6. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือผู้ติดเชื้อ HIV
7. ผู้ที่เป็นโรคอ้วน 100 กิโลกรัมขึ้นไป
8. ผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง ได้แก่...
ขอขอบคุณรูปจาก www.pexels.com
ก่อนเข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้าใจในข้อควรระวังและหมั่นตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอ ดังนี้
1. หากป่วย หรือมีไข้ไม่ควรฉีดวัคซีน
2. แจ้งแพทย์ หากกำลังตั้งครรภ์ มีโรคประจำตัว แพ้อาหาร แพ้ยา แพ้ไข่ไก่(วัคซีนมีส่วนผสมของโปรตีนไข่)
3. เลื่อนการฉีดวัคซีนหากกำลังรักษาโรคบางอย่างอยู่
4. ยาที่ใช้อยู่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดหรือกระทบต่อภูมิคุ้มกันหรือไม่?
5. จดบันทึกทุกครั้งเมื่อมีการฉีดวัคซีน
หลายท่านเมื่อรับการฉีดวัคซีนแล้วมักจะมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้น ซึ่งอาการส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติภายใน 1-2 วัน ได้แก่
1. อาการวิงเวียนศีรษะ คล้ายจะเป็นลม หลังฉีดวัคซีนแล้วควรนั่งพักสักครู่ อาการดังกล่าวจะค่อยๆหายไป
2. ปวด บวม แดงเฉพาะบริเวณที่ฉีดวัคซีน เช่น ต้นแขน
3. มีไข้อ่อนๆ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ(ส่วนใหญ่จะเกิดในรายที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน)
4. หากมีไข้สูง เป็นลมพิษ หอบหืดเนื่องจากแพ้โปรตีนจากไข่ ให้รีบพบแพทย์ด่วน
อย่างไรก็ตามการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เป็นเพียงหนึ่งในการเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกายในทางหนึ่งเท่านั้น แต่จะเกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุดเมื่อเราทำควบคู่กับการดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนอย่างเพียงพอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และอย่าลืมสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตัวเอง เมื่อมีอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไปค่ะ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
Fractional CO2 laser Fractional CO2 เป็นเลเซอร์ที่ช่วยในการผลัดผิวใหม่ด้วยลำแสงเลเซอร์ที่มีความแม่นยำในการปล่อยพลังงาน โดยการการยิงลำแสงที่มีขนาดเล็กมากๆ เข้าไปในผิ...
LED light therapy การรักษาด้วยแสง LED ไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวด ทั้งยังผ่อนคลาย และมีความปลอดภัยต่อผิวหนัง มีคุณสมบัติหลายประการขึ้นกับคลื่นแสงสีที่เลือกใช้ ซึ่งประก...
ร้อยไหม ร้อยไหม เป็นการปรับรูปหน้าให้เรียวสวย โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และมีผลข้างเคียงน้อย เส้นไหมที่ใช้เป็น “ไหมละลาย” นารดาคลินิกเลือกใช้ไหมล็อคทอนาโด เพ...
Radiofrequency (RF) energy treatment การทำทรีตเมนต์ด้วยคลื่นวิทยุ(RF) สามารถยกกระชับผิว โดยคลื่นวิทยุจะลงไปยังชั้นผิวหนัง เกิดเป็นความร้อนในตำแหน่งๆ ส่งผลให้เ...
การฝังเข็มแผนจีน การฝังเข็มแผนจีนเป็นแพทย์ทางเลือกแบบหนึ่ง เป็นการรักษาโรคที่ภายนอกโดยการฝังเข็มที่จุดฝังเข็มตามตำแหน่งต่างๆ ของร่างกาย เพื่อแก้ไขร่างกายที่ป่วย ที...
ในโลกดิจิทัลที่ทุกอย่างเต็มไปด้วยความรีบเร่งเพื่อก้าวให้ทันยุคทันสมัย ไม่เว้นแม้แต่เรื่องความสวยความงามที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดดเพื่อให้ทันยุค “สวยสั่งได้...
หนึ่งในปัญหาผิวที่กวนใจสาวๆมาทุกยุคทุกสมัย คือขนที่มากเกินไปตามร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นบริเวณหน้า รักแร้ แขน ขาหรือหน้าแข้ง หลายครั้งอยากจะอวดผิวเรียบเนียนใส แต่...
“สิว”กวนใจคุณมานานแค่ไหนแล้วคะ? สิว...เรื่องใกล้ตัว แต่อาจทำให้คุณปวดหัวไม่มีวันจบสิ้น เรียกได้ว่าส่องกระจกทีไรปวดใจทุกที ทั้งสิวอักเสบ สิวผด สิวเสี้ยน...